บทความที่ได้รับความนิยม
-
บทที่ 6 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ได้มีผู้ความหมายไว้หลายความ...
-
บทที่ 8 จริยธรรมและความปลอดภัย ความหมายของจริยธรรม คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น “ หลักของศีลธรรมในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ ” “ มา...
-
บทที่ 7 ระบบสารสนเทศและวงจรการพัฒนาระบบ ระบบสารสนเทศและวงจรการพัฒนาระบบ ( Information System and System Development Life Cycle : SDLC )...
-
บทที่ 5 โทรคมนาคมและระบบเครือข่าย การสื่อสารคมนาคม ± โทรคมนาคม (Telecommunications) หมายถึง การสื่อสารข้อมูลระยะทางไกลในรูปแบบสัญญาณอ...
-
บทที่ 4 ระบบฐานข้อมูล ระบบแฟ้มข้อมูล ( File System) ประมาณทศวรรษที่ 1970 องค์กรส่วนใหญ่มีการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ในลักษณะแฟ้มข้อมู...
-
1) DATA หมายถึง ข้อมูล ทุกสิ่งที่นำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ 2) DATABASE หมายถึง ฐานข้อมูล ที่รวมของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน และจั...
-
บทที่ 3 ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ ความสำคัญของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ บทบาท ที่สำคัญประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ คือ บทบาทในด้านกลยุทธ์ที่...
-
ตอนที่ 2 จงตอบคำถามต่อไปนี้มาให้เข้าใจมากที่สุด 1 . จงให้คำนิยามของศัพท์ด้านระบบสารสนเทศดังต่อ ไปนี้ 1.1 Virtual Organization ...
-
ความหมายของเครือข่าย ( Network ) ระบบเครือข่าย หรือเน็ตเวิร์ก ( Network) คือ ระบบที่มีคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อกันอยู่ ...
-
http://www.siamwebhost.com/tutorials/oscommerce.html
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สรุป บทที่ 8 จริยธรรมและความปลอดภัย
บทที่ 8
จริยธรรมและความปลอดภัย
ความหมายของจริยธรรม
คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น
“หลักของศีลธรรมในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ”
“มาตรฐานของการประพฤติ ปฏิบัติในวิชาชีพที่ได้รับ”
“ข้อตกลงกันในหมู่ประชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูกและหลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิด”
สรุป
จริยธรรม (Ethics) คือ หลักของความถูกและผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม
หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้
1. ปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนอย่างที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตน
2. ถ้าการกระทำอย่างหนึ่งไม่เหมาะที่ทุกคนจะปฏิบัติ ดังนั้น การกระทำดังกล่าว ก็ไม่เหมาะที่คนใดคนหนึ่งจะปฏิบัติด้วย
3. ถ้าการกระทำใดไม่พึงปฏิบัติซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง การกระทำนั้นก็ไม่ควรนำมาปฏิบัติเลยแม้แต่ครั้งเดียว
4. ถ้า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยคนอื่นและมีประโยชน์ต่อคนใดคนหนึ่ง คน ๆ นั้นพึงให้คุณค่าและผลตอบแทนแก่ผู้ที่คิดค้นหรือสร้างขึ้นมา
R.O. Mason และคณะ (2001) ได้จำแนกประเด็นเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภท คือ
1.) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy)
2.) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)
3.) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property)
4.) ประเด็นของความเข้าถึงได้ของข้อมูล (Accessibility)
การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวคือสิทธิที่อยู่ตามลำพังและสิทธิที่เป็นอิสระจากการถูกรบกวนโดยไม่มีเหตุอันควร
ความ เป็นส่วนตัวของข้อมูลสารสนเทศ คือ สิทธิในการตัดสินใจว่าเมื่อใดข้อมูลสารสนเทศของบุคคลหนึ่ง จะสามารถเปิดเผยให้กับผู้อื่นได้ และภายใต้ขอบเขตอย่างไร
แนวทางการพัฒนาคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล
– ข้อมูลส่วนตัว ควรจะได้รับการตรวจสอบก่อนจะนำเข้าสู่ฐานข้อมูล
– ข้อมูลควรมีความถูกต้องแม่นยำ และมีความทันสมัย
– แฟ้มข้อมูลควรทำให้บุคคลสามารถเข้าถึง (ข้อมูลของตน) และตรวจสอบความถูกต้องได้
ความลับของข้อมูล
– ควรมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค และการบริหาร
– บุคคลที่สามไม่สมควรได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้หรืออนุญาตของเจ้าของ ยกเว้นโดยข้อกำหนดของกฎหมาย
– ข้อมูลไม่ควรถูกเปิดเผยด้วยเหตุผลที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูล
การคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สิน ทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ์ (Copyright) หมาย ถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุห้าสิบปี นับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก
สิทธิ์บัตร (Patent) หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยสิทธิบัตรมีอายุ 20 ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน อาชญากรรมคอมพิวเตอร์มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ อินเตอร์เน็ต ทำให้อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล
สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นไปได้ทั้ง
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
คือ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และทำลายระบบคอมพิวเตอร์อื่น
2. เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป้าหมายของอาชญากรรม
2.1 การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมาย
ซึ่งมีทั้ง Hacker และ Criminal Hacker (Cracker)
2.2 การเปลี่ยนแปลงและทำลายข้อมูล โดย
R virus : เป็นโปรแกรมที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่น
R worms : เป็นโปรแกรมอิสระที่สามารถจำลองโปรแกรมเองได้
2.3 การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
2.4 การสแกมทางคอมพิวเตอร์ (Computer-related Scams)
การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์
การรักษาความปลอดภัยให้ระบบสารสนเทศมีความปลอดภัย และยังช่วยลดข้อผิดพลาด การทำลายระบบสารสนเทศ มีระบบการควบคุมที่สำคัญ 3 ประการ คือ
• การควบคุมระบบสารสนเทศ
• การควบคุมกระบวนการทำงาน
• การควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
สรุป บทที่ 7 ระบบสารสนเทศและวงจรการพัฒนาระบบ
บทที่ 7
ระบบสารสนเทศและวงจรการพัฒนาระบบ
ระบบสารสนเทศและวงจรการพัฒนาระบบ
(Information System and System Development Life Cycle : SDLC)
(Information System and System Development Life Cycle : SDLC)
• สารสนเทศจากคอมพิวเตอร์ (Computer-Generated Information)
• การวิเคราะห์และออกแบบระบบ
• วงจรการพัฒนาระบบ (SDLC)
• เครื่องมือในการวิเคราะห์ระบบ
Key Terms
• Computer-Generated Information
• TPS, OAS, KWS, MIS, DSS, ESS, ES, AI
• Systems Development Life Cycle
• Feasibility Study
• Systems Analysis and Design
• System Analyst
• Maintenance
• Reengineering
บริหาร Information เหมือนดั่ง Resource
• เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Information ดังนั้นต้องมอง Information เป็นเหมือนดัง Resource ชนิดหนึ่งที่ต้องบริหาร
• ต้องรู้ถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน Information
– Production, Distribution, Security, Storage, Retrieval
Computer-Generated Information
• พัฒนาการทางด้าน Network Computer, Internet, WWW ทำให้เกิด Information ขึ้นมาอย่างง่ายดาย และมากมาย
• แตกต่างมากมายไปจากการ Information ที่ได้มาด้วยวิธีเก่า
• เกิดระบบ (System) ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเอา Information ไปใช้งาน
Computer-Generated Information
• Transaction Processing Systems (TPS)
• Office Automation Systems (OAS)
• Knowledge Work Systems (KWS)
• Management Information Systems (MIS)
• Decision Support Systems (DSS)
• Expert System & Artificial Intelligence (AI)
Transaction Processing Systems (TPS)
• Operational Level
• เป็น Computerized Information System ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อ Process ข้อมูลจำนวนมากสำหรับงานธุรกิจประจำวัน
• ลดความน่าเบื่อ ลดเวลา
• งานบัญชี งานสินค้าคงคลัง ฯลฯ
Office Automation Systems (OAS) Knowledge Work Systems (KWS)
• Knowledge Level
• OAS ทำหน้าที่ Support ให้ กับผู้ทำงานทางด้านข้อมูล ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผู้สร้างข้อมูลโดยตรงแต่ทำหน้าที่วิเคราะห์ จัดการ หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง
• Word Processing, Spreadsheets, Desktop Publishing, Voice Mail, E-mail
• KWS ทำหน้าที่ Support ให้กับผู้ทำงานที่มีความเชี่ยวชาญเช่น นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร แพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้คนเหล่านี้สร้าง Knowledge ขึ้นมาเพื่อใช้งานในองค์กร
• เช่น โปรแกรมเฉพาะด้านที่ใช้งานเพื่อสร้าง Application ย่อยขึ้นมาสำหรับองค์กร
Management Information Systems (MIS)
• MIS ครอบคลุม TPS
• เป็นการทำงานระหว่าง คน กับ Computer โดยการนำ People, Software, Hardware ทำงานร่วมกันเพื่อให้ได้ Information มาใช้ในการตัดสินใจ (Decision Making) ในงานประจำวัน
• Users ใน MIS จะใช้งาน Database ร่วมกัน
Decision Support Systems (DSS)
• Higher Level
• คล้ายกับ MIS เพราะยังมีการใช้งาน Database ร่วมกัน
• ใช้ในการจัดการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ (Decision Making)
• ใช้ในการแก้ปัญหาซับซ้อน
Expert Systems & Artificial Intelligence (AI)
• AI จัดเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงระบบอัจฉริยะ (Expert System)
• จัดเป็น Special Class ของ Information System
• ใช้ knowledge ของผู้เชี่ยวชาญ (Expert) มาใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะด้าน
• บางครั้งจึงเรียกว่า Knowledge-based System
System Analysis and Design Concept
• การวิเคราะห์ระบบ คืออะไร ?
– การหาความต้องการ (Requirements) ของระบบสารสนเทศว่าคืออะไร..?
– Systems analysis is a problem-solving technique that decomposes a system into its component pieces for the purpose of studying how well those component parts work and interact to accomplish their purpose
• การออกแบบระบบ คืออะไร ?
– นำเอาความต้องการของระบบมาเป็น แบบแผน หรือเรียกว่าพิมพ์เขียวในการสร้างระบบสารสนเทศนั้นให้ใช้งานได้จริง
– Systems Design (also called systems synthesis) is a complementary problem-solving technique (to systems analysis) that reassembles a system’s component pieces back into a complete system—hopefully, an improved system.
วงจรการพัฒนาระบบ (SDLC)
• วงจรการพัฒนาระบบ (SDLC) คืออะไร ?
– วงจรชีวิตของระบบที่นักวิเคราะห์ระบบจะต้องทำความเข้าใจ
– A system life cycle divides the life of an information system into two stages, systems development and systems operation and support
• วงจรการพัฒนาระบบ (SDLC) มี 7 ขั้นตอน
– 1. เข้าใจปัญหา (Problem Recognition)
– 2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)
– 3. วิเคราะห์ (Analysis)
– 4. ออกแบบ (Design)
– 5. สร้าง หรือพัฒนา (Construction)
– 6. การติดตั้งหรือการปรับเปลี่ยน (Installation, Conversion)
– 7. บำรุงรักษา (Maintenance)
สรุป บทที่ 6 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce
บทที่ 6
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce
ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ได้มีผู้ความหมายไว้หลายความหมาย เช่น
v กิจกรรม เชิงพาณิชย์ที่ดำเนินการโดยมีการแลกเปลี่ยน เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลข่าวสาร โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อีเมล์ และอื่น ๆ (Hill, 1997)
v การใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น EDI การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคมอื่น ๆ โทรทัศน์และการใช้อินเทอร์เน็ต (Palmer, 1997)
กรอบแนวคิดของ E-Commerce
แอพพลิเคชั่นของ E-Commerce
การประยุกต์ใช้ E-Commerce มีการประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางอย่างเช่น
การขายตรง
การซื้อขายหุ้น
การหางาน
ธนาคารออนไลน์
การจัดหาและการซื้อสินค้า
การประมูล
การท่องเที่ยว
การบริการลูกค้า
การพิมพ์งานออนไลน์ (Online publishing)
การติดต่อธุรกรรมระหว่างหน่วยงาน
ห้างสรรพสินค้า
ปัจจัยทางการบริหารของระบบ E-Commerce
v องค์การ / บุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบ E-Commerce
รัฐบาล
เตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครือข่ายโทรศัพท์
ให้การสนับสนุนและส่งเสริม
ออกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผู้ทำธุรกิจ
ผู้ใช้บริการ
ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP)
ตัวกลาง (Intermediary) คือ หน่วยงานกลางที่ออกใบรับรอง (Certificate) ในระบบการชำระเงิน และรับรองผู้ซื้อและผู้ขายว่าเป็นบุคคลหรือหน่วยงานที่เชื่อถือได้
สถาบันการเงิน อำนวยความสะดวกในการชำระเงิน
v นโยบายสารธารณะและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบ E-Commerce
ภาษี
กฎหมายและระเบียบต่างๆ
มาตรฐานด้านเทคนิค
v การบริหารกลยุทธ์การตลาดและการโฆษณา
การวิจัยทางการตลาด
การส่งเสริมการขาย
เนื้อหาในเว็ป
v พันธมิตรทางการค้า
ลอจิสติกส์
หุ้นส่วนทางการค้า
โครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาระบบ E-Commerce
v โครงสร้างพื้นฐานในการบริการ
แคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (E-Catalogue)
การชำระเงิน
การจัดส่งสินค้า
การบริการหลังการขาย
การรักษาความปลอดภัย
การบริการอื่น ๆ
v การกระจายสารสนเทศ
EDI
E-mail
Hypertext Transfer Protocol
Chat room
v เนื้อหามัลติมีเดียส์/การออกแบบ/การนำเสนอ
HTML
JAVA
WWW
v โครงสร้างเครือข่าย
เคเบิ้ลทีวี
อินเตอร์เน็ต
อินทราเน็ต
เอ็กซทราเน็ต
โทรศัพท์มือถือ
v โครงสร้างอินเตอร์เฟซ (Interface)
การออกแบบเว็บเพจ
ฐานข้อมูล
แอพพลิเคชั่น
ประเภทของ E-Commerce
E-Commerce มี 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business หรือ B to B หรือ B2B)
ธุรกิจและลูกค้า (Business to Consumers หรือ B to C หรือ B2C)
ธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government หรือ B to G หรือ B2G)
ลูกค้ากับลูกค้า (Consumers to Consumers หรือ C to C หรือ C2C)
E-Commerce แบบ B to B
เป็นการทำธุรกิจระหว่างธุรกิจ ซึ่งอาจมีทั้งภายในบริษัทเดียวกัน (Intra-Company E-Commerce) และระหว่างบริษัท (Inter-Company E-Commerce) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
v Seller-Oriented Marketplace
v Buyer-Oriented Marketplace
v Seller-Oriented Marketplace
เป็นรูปแบบที่องค์กรขายสินค้าและบริการให้แก่องค์การอื่นผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คือธุรกิจ (ผู้ซื้อ) เข้าไปใน web site เลือก ชมสินค้าในแคตตาล็อก และสั่งซื้อสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ นอกจากนี้ยังมีระบบการสั่งสินค้า ระบบการจ่ายเงิน ผนวกกับระบบลอจิสติกส์ของผู้ขาย
v Buyer-Oriented Marketplace
มี จุดมุ่งหมายในการลดต้นทุนของสินค้าที่จะซื้อ หรือในตลาดที่มีการประมูล โดยมีการประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยผ่านไปยังเครือข่ายอินทราเน็ตของผู้ซื้อเพื่อประมวลหาผู้ขายที่ดีที่สุด
E-Commerce แบบ B to C
1) ร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Retailing)
เป็นการขายตรงจากธุรกิจถึงลูกค้า ซึ่งมีรูปแบบ 2 ประเภทคือ
q Solo Storefronts
q Electronic mall หรือ Cybermall
2) การโฆษณา
q แบบ Banners
q แบบ E-mail (แต่อาจจะทำให้เกิด Spamming)
3) แค็ตตาล็อกอิเล็กทรอนิกส์
4) ธนาคารไซเบอร์ (Cyber banking หรือ Electronic Banking หรือ Virtual Banking)
5) ตลาดแรงงานออนไลน์ (Online job market)
6) การท่องเที่ยว
7) อสังหาริมทรัพย์
8) การประมูล (Auctions)
ขั้นตอนการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต
การซื้อ ขายในระบบ E-Commerce มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
การค้นหาข้อมูล
การเลือกและการต่อรอง
การซื้อสินค้า/บริการทางอินเตอร์เน็ต
การจัดส่งสินค้า/บริการ
การพัฒนาหลังการขาย
ระบบการจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์
การจ่ายเงินแบบเดิม เช่น การใช้เงินสด, เช็ค, ธนาณัติ, และการให้หมายเลข Credit Card มีข้อจำกัดในการนำมาใช้กับระบบ E-Commerce เช่น ความปลอดภัย, ความล่าช้า, และต้นทุนในการดำเนินการ ดังนั้น ระบบ E-Commerce จึงได้มีการพัฒนาการชำระแบบ Electronic เช่น เช็คอิเล็กทรอนิกส์, เครดิตคาร์ดอิเล็กทรอนิกส์, การจ่ายเงินสดอิเล็กทรอนิกส์, การใช้สมาร์ทการ์ด, และการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
การประยุกต์ใช้ E-Commerce
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government)
เป็นการประยุกต์แนวคิดของ E-Commerce โดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการรับ-ส่ง สารสนเทศและการบริการของรัฐสู่ประชาชน, ภาคธุรกิจ, หรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์มี 3 รูปแบบ คือ
1) รัฐบาลกับประชาชน (G2C)
คือการใช้บริการของรัฐไปยังประชาชน เช่น การเสียภาษี online เป็นต้น
2) รัฐบาลกับธุรกิจ(G2B)
เป็นการติดต่อระหว่างภาครัฐกับเอกชน หรือ suppliers เพื่อดำเนินธุรกิจ เช่น การประมูลผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) การจัดซื้อจัดจ้างผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (E-Procurement)
3) รัฐบาลกับรัฐบาล (G2G)
เป็นการติดต่อระหว่างภาครัฐกับรัฐ ในกระทรวงหรือระหว่างกระทรวงก็ได้
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบเคลื่อนที่ (M-Commerce)
คือ การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านอุปกรณ์แบบไร้สาย เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่, PDA ซึ่งลักษณะสำคัญของ M-Commerce มีดังนี้
1) เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว (Mobility)
2) เข้าถึงง่าย (Reachability)
3) มีแพร่หลาย (Ubiquity)
4) สะดวกในการใช้งาน (Convenience)
ตัวอย่างเช่น I-MODE ของ NTT DoCoMo ของประเทศญี่ปุ่น ที่ใช้ในการซื้อขายหุ้น, ซื้อตั๋วเดินทาง, ส่งภาพ, หาข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น
ประโยชน์ของ E-Commerce
ประโยชน์ต่อบุคคล
1) มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
2) ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
3) สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4) ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5) ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6) สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7) ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8) ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า (Value Chain Integration)
ประโยชน์ต่อองค์การธุรกิจ
1) ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
2) ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
3) ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจายการเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
4) ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะ Internet ราคาถูกกว่าโทรศัพท์
5) ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6) ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประโยชน์ต่อสังคม
1) ทำให้คนสามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง ทำให้การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
2) ทำให้มีการซื้อขายสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตรฐานการขายสินค้าและบริการได้
ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ
1) กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนาอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
2) ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
3) บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง ทำให้อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลงด้วย
4) ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกันในเมือง
5) เพิ่มความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ข้อจำกัดเกี่ยวกับ E-Commerce
ข้อจำกัดด้านเทคนิค
1) ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ
2) ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3) ซอร์ฟแวร์ยังกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
4) ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่าง Internet และซอร์ฟแวร์ของ E-commerce กับแอพพลิเคชั่น
5) ต้องการ Web Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
6) การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดด้านกฎหมาย
1) กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมีลักษณะที่แตกต่างกัน
2) การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3) ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดด้านธุรกิจ
1) วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะ สั้นลง เพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว การลอกเลียนผลิตภัณฑ์จึงทำได้รวดเร็ว เกิดคู่แข่งเข้ามาในตลาดได้ง่าย จะต้องมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เสมอ
2) ความพร้อมของภูมิภาคต่าง ๆในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของ E-Commerce มีไม่เท่ากัน
3) ภาษีและค่าธรรมเนียม จาก E-Commerce จัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
4) ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce ครบวงจรค่อนข้างสูง เพราะรวมถึงค่า Hardware, Software ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่าย ตลอดจนค่าจ้างบุคลากร
5) ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมาก ในโครงสร้างพื้นฐาน
6) เงินสดอิเลกทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การตรวจสอบที่มาของเงินทำได้ยาก
ข้อจำกัดด้านอื่น ๆ
1) การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเตอร์เน็ต มีมาก และมีการขยายตัวเร็วมากกว่าการพัฒนาของอินเตอร์เน็ตเสียอีก
2) สิทธิส่วนบุคคล (Privacy) ระบบ การจ่ายเงิน หรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใคร และสามารถใช้ซอร์ฟแวร์ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ หรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
3) E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือและไว้ใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4) ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงาน หรือวิธีการที่ดีของ E-Commerce เช่น การโฆษณาผ่านทาง E-Commerce ว่าได้ผลเป็นอย่างไร
5) จำนวนผู้ซื้อ / ขาย ที่ได้กำไรหรือประโยชน์จาก E-Commerce ยังมีจำกัด โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งสัดส่วนของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตต่อประชากรต่ำมาก และการใช้ E-Commerce ในการซื้อ/ขายสินค้า มีน้อยมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)